#SaveUyghur 🔴ไทยถูกประณามหนัก หลังส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 รายกลับจีน ท่ามกลางคำถามถึงความปลอดภัยและสิทธิมนุษยชน

การตัดสินใจของรัฐบาลไทยในการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังจีนได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากประชาคมโลกอย่างรวดเร็ว หลายประเทศตั้งคำถามถึงเหตุผลเบื้องหลัง พร้อมแสดงความกังวลว่าบุคคลเหล่านี้อาจต้องเผชิญกับอันตรายและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

ชาวอุยกูร์เป็นใคร?

ชาวอุยกูร์ (Uyghur) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่พูดภาษาเติร์ก อาศัยอยู่เป็นหลักใน เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน พวกเขามีวัฒนธรรม ภาษา และอัตลักษณ์ที่แตกต่างจากชนชาติฮั่น ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของจีน

แม้จะมีประวัติศาสตร์ยาวนานในภูมิภาคนี้ แต่ชาวอุยกูร์มักถูกมองว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีแนวคิดแบ่งแยกดินแดน ทำให้ทางการจีนเข้าควบคุมอย่างเข้มงวด และดำเนินนโยบายที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการ "กลืนชาติ" และ ละเมิดสิทธิมนุษยชน" อย่างร้ายแรง

ชาวอุยกูร์ถูกกดดันจากจีนอย่างไร?

รัฐบาลจีนใช้มาตรการควบคุมชาวอุยกูร์หลายรูปแบบ โดยอ้างเหตุผลด้าน "ความมั่นคง" และ "การต่อต้านการก่อการร้าย" ซึ่งส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในวงกว้าง เช่น

🔹 ค่ายกักกันและการปรับทัศนคติ – มีรายงานว่าชาวอุยกูร์กว่า 1 ล้านคน ถูกส่งเข้า "ศูนย์ฝึกอบรม" หรือ "ค่ายกักกัน" ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ล้างสมอง บังคับให้ละทิ้งวัฒนธรรมและศาสนา และบางรายถูกบังคับใช้แรงงาน

🔹 จำกัดเสรีภาพทางศาสนา – ชาวอุยกูร์ถูกห้ามไว้หนวดเครายาว สวมฮิญาบ ถือศีลอดในช่วงรอมฎอน และแม้แต่การกล่าวคำว่า "อินชาอัลลอฮ์" (หากพระเจ้าประสงค์) ก็อาจถูกจับกุม

🔹 เฝ้าระวังและควบคุมชีวิตประจำวัน – ทางการจีนติดตั้งกล้องวงจรปิดที่ใช้ AI จดจำใบหน้า ควบคุมการใช้โทรศัพท์มือถือ และบังคับให้ชาวอุยกูร์ดาวน์โหลดแอปที่ติดตามพฤติกรรม

🔹 ควบคุมการเกิดและการแต่งงาน – มีรายงานว่าผู้หญิงอุยกูร์บางคนถูกบังคับทำหมันหรือแต่งงานกับชายเชื้อสายฮั่นเพื่อให้ “กลืน” เข้ากับสังคมจีน

ทำไมชาวอุยกูร์ต้องลี้ภัย?

จากการกดขี่อย่างต่อเนื่อง ชาวอุยกูร์หลายคนพยายามหลบหนีออกจากจีนผ่านเส้นทางในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บางคนเดินทางผ่านไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย หวังไปยังประเทศที่สาม เช่น ตุรกี ซึ่งมีความใกล้ชิดทางวัฒนธรรม

ชาวอุยกูร์ในไทย: จากการกักขัง 11 ปี สู่การส่งตัวกลับจีน

ย้อนไปเมื่อปี 2557 ทางการไทยจับกุมชาวอุยกูร์จำนวนมากที่หลบหนีเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีรายงานว่าพวกเขาต้องอยู่ในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) นานถึง 11 ปี ภายใต้สภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายกว่าผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วไป

ไทยเคยส่งอุยกูร์กลับจีนมาแล้ว และถูกประณามจากทั่วโลก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไทยตัดสินใจส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน ในปี 2558 ทางการไทยเคยส่งผู้หญิงและเด็กชาวอุยกูร์ประมาณ 170 คนไปยังประเทศที่สาม (ตุรกี) แต่เพียงหนึ่งสัปดาห์ต่อมา กลับส่งชายอุยกูร์กว่า 100 คนกลับไปจีน การตัดสินใจครั้งนั้นนำไปสู่กระแสต่อต้านจากนานาชาติ เนื่องจากขัดต่อหลักการ "ไม่ส่งกลับ" (Non-Refoulement) ซึ่งเป็นหลักสิทธิมนุษยชนสำคัญภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติที่ไทยเป็นภาคี

พบรถปริศนาออกจาก ตม. ก่อนเครื่องบินจีนออกจากดอนเมือง

คืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 มีรายงานพบรถควบคุมผู้ต้องขังติดฟิล์มทึบ ออกจากศูนย์กัก ตม.สวนพลู กรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 02:41 น. ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่มีการกักตัวชาวอุยกูร์ 48 คน ต่อมา เวลา 04:48 น. พบว่าเครื่องบินของสายการบิน China Southern ออกจากสนามบินดอนเมือง และสัญญาณหายไปจากระบบติดตามเที่ยวบินบริเวณมณฑลซินเจียง ประเทศจีน

ในช่วงค่ำวันเดียวกัน รัฐบาลไทยจัดแถลงข่าวด่วน ยืนยันว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์ 45 คน (ขัดแย้งกับรายงานก่อนหน้าที่ระบุว่า 40 คน) เป็นการเดินทางโดยสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ และยึดหลักกฎหมายสากล รวมถึง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย

UNHCR ประณามไทย เหตุละเมิดหลักการห้ามส่งกลับ

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของไทย โดยระบุว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวมานานกว่า 10 ปีเคยแสดงความกังวลและหวาดกลัวต่อการถูกส่งกลับจีนมาโดยตลอด อีกทั้ง UNHCR ได้พยายามขอสิทธิ์เข้าถึงกลุ่มบุคคลเหล่านี้ แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการไทย

แม้ว่ารัฐบาลไทยจะอ้างว่าการส่งตัวครั้งนี้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ประชาคมโลกยังคงตั้งคำถามถึงความโปร่งใส และชะตากรรมของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับไป

#สิทธิมนุษยชน #อุยกูร์ #Uyghur #HumanRights #Thailand