top of page
Writer's pictureManushya Foundation

มานุษยะเรียกร้องความยุติธรรมต่อ #SaveSabWaiVillagers อย่างไร



#SaveSabWaiVillagers ⚖️ ชาวบ้านซับหวายเป็นตัวละครหลักของเรื่องราวอันเลวร้ายอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลไทยละเมิดสิทธิของเกษตรกรที่ยากจนและชนพื้นเมืองในที่ดินโดยที่รัฐไม่ต้องรับโทษ


อะไรคือความเชื่อมโยงระหว่างชาวบ้านซับหวายกับการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เป็น 'ผิดพลาด' ของประเทศไทย?


🌳ชาวบ้านซับหวาย ชุมชนที่ต้องพึ่งพิงป่า และชาวอีสานจากจังหวัดชัยภูมิในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่มีความรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านเฉพาะตัวและสืบสานวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมในการอนุรักษ์ป่าไม้ แต่พวกเขายังคงตกเป็นเป้าหมายหลักของการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ผิดพลาดของประเทศไทย โดยรัฐจงใจมองข้ามบทบาทของ ชุมชนเกษตรกรรมพื้นเมืองในการอนุรักษ์ธรรมชาติ!


🚨ชาวบ้าน 14 คนถูกดำเนินคดีอาญาอย่างไม่ยุติธรรมและถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานบุกรุกและทำลายที่ดินที่พวกเขาอาศัยอยู่มานานหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นของอุทยานแห่งชาติไทรทอง บางคนถึงกับติดคุก! ตอนนี้พวกเขาถูกคุกคามด้วยการขับไล่ที่ดินและเผชิญกับความยากจนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


วิธีแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ผิดพลาด 1

❌ ภายใต้การบิดเบือนของ 'การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ' รัฐบาลไทยใช้นโยบายการทวงคืนป่าไม้ พ.ศ. 2557 ของประเทศไทยเป็นอาวุธในการเอาผิดทางอาญาแก่คนยากจนและชนพื้นเมืองอย่างไม่ยุติธรรมในฐานะผู้ทำลายป่า แทนที่จะให้ธุรกิจขนาดใหญ่รับผิดชอบต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง


👉 นิตยา ม่วงกลาง แกนนำชุมชนชาวบ้านซับหวาย ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานบุกรุกป่าบริเวณไร่มันสำปะหลังและบริเวณบ้านของเธอ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม และ 5 พฤษภาคม 2564 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกเธอเป็นเวลา 3 ปี โดยรอลงอาญา และปรับเงิน 190,000 บาท แม้ว่านิตยาจะยังสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ แต่อย่างไรก็ตาม เธอและครอบครัวยังถูกขับไล่ออกจากที่ดิน ทำให้เธอสูญเสียอาชีพการงานและทุกสิ่งที่พวกเขาเคยมี เรื่องราวของนิตยาสะท้อนถึงอาชญากรรมที่ประเทศไทยกระทำต่อชาวบ้านที่ยากจน ชนเผ่าพื้นเมือง และชุมชนที่ต้องพึ่งพาป่าไม้!


✍️เจ้าหน้าที่ไม่เพียงแต่ทำให้ชาวบ้านเป็นอาชญากรเท่านั้น แต่ยังจัดการกับชาวบ้านบางคนที่ไม่สามารถอ่านเขียนเอกสารได้ให้ลงนามเพื่อมอบที่ดินของตน โดยบอกพวกเขาว่าลายเซ็นของพวกเขาจะทำให้พวกเขาสามารถรักษาที่ดินไว้ได้!


วิธีแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ผิดพลาด 2

📃 การตอบสนองล่าสุดของประเทศไทยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 'คาร์บอนเครดิต' ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ผิดพลาดได้อีกเช่นกัน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้สร้างความเสียหายให้กับชุมชนพื้นเมืองที่ยังคงดำรงชีวิตขึ้นอยู่กับป่าไม้ คาร์บอนเครดิตเกี่ยวข้องอย่างไร? รัฐบาลหรือเอกชนขนาดใหญ่สามารถซื้อคาร์บอนเครดิตได้เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอน ทำให้พวกเขาอ้างนโยบายความเป็นกลางของคาร์บอนได้ ซึ่งในความเป็นจริงความพยายามของรัฐบาลในการปลูกป่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดการที่ดินของชุมชนที่อาศัยอยู่ในป่า รวมทั้งอาจจะส่งผลทำให้พวกเขาโดนจำคุกอีกด้วย ดังที่ชาวบ้านซับหวายเคยประสบมา


📣ในงานนักปกป้องสิทธิมนุษยชนสิ่งแวดล้อมแห่งเอเชีย-แปซิฟิก (EHRDs) ครั้งที่ 3 ที่ผ่านมา นิตยาขึ้นเวทีเพื่อประณามกลยุทธ์ฟอกเขียวของรัฐบาลไทย เธอกล่าวด้วยประโยคที่ทรงพลังว่า “ชุมชนเห็นว่ารัฐบาลไทยให้สัตยาบันข้อตกลงระหว่างประเทศแต่ไม่ได้ปฏิบัติตามในทางปฏิบัติ และรัฐไทยยังปฏิเสธที่จะรับรู้และยอมรับสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองที่พึ่งพาป่าไม้ แทนที่จะบังคับใช้นโยบายกับผู้ที่คุกคามความเป็นอยู่ของชุมชนป่าไม้ และนโยบายของรัฐยังทำให้เกิดการพลัดถิ่นที่เป็นการสนับสนุนผลประโยชน์ของภาคเอกชน และเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนรายใหญ่เท่านั้น”



🌲“แม้ว่านโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนของรัฐบาลดูเหมือนจะมีเจตนาดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็เป็นอันตรายต่อชุมชนที่พึ่งพาป่าไม้” นิตยาย้ำข้อเรียกร้องของชุมชนว่า “ชุมชนต้องการให้ทั้งภาครัฐและเอกชนตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของชุมชนในโครงการที่พวกเขาทำ และบ่อยครั้งชุมชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล ชุมชนจะรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายก็ต่อเมื่อเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาแล้วเท่านั้น แล้วมันก็ใช้ไล่เราออกจากบ้าน ชุมชนจะต้องมีส่วนร่วมในผลลัพธ์ และเราต้องมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการตัดสินใจ การยอมรับทางกฎหมายและการคุ้มครองสิทธิโดยรวมของชนเผ่าพื้นเมืองเหนือป่าไม้ของพวกเขาต้องมีสิทธิในที่ดินและทรัพยากรซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของการดำรงชีวิตของชุมชน”


🌏 หลังจากการเรียกร้องอันแน่วแน่ของนิตยาเพื่อให้ได้รับการยอมรับ ผู้แทนของ Asia Indigenous Peoples Pact (AIPP) ก็ได้แสดงการสนับสนุนและกล่าวเพิ่มเติมว่า “นโยบายความเป็นกลางคาร์บอนจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนรายใหญ่เป็นหลัก ในขณะที่ชนเผ่าพื้นเมืองต้องเผชิญกับภัยคุกคามทางกฎหมายและถูกบังคับขับไล่ออกจากที่ดินของบรรพบุรุษของตนเอง อีกทั้งรัฐในเอเชียส่วนใหญ่ การยอมรับชนเผ่าพื้นเมืองและสิทธิร่วมกันของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ดินแดน และทรัพยากรของพวกเขา ยังคงถูกจำกัด”


🏔️ “ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชุมชนบนที่สูงต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า ทำลายทรัพยากรธรรมชาติจนหมดสิ้น การเผาหญ้า และการจุดไฟป่าที่นำไปสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอน นอกจากนี้ พวกเขายังถูกตราหน้าว่าเป็น "ผู้บุกรุกป่า" และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำเกษตรกรรม "ล้าหลัง" และ "ทำลายล้าง" ด้วยเหตุนี้ ชุมชนบนพื้นที่สูงเหล่านี้จึงตกอยู่ภายใต้นโยบาย และมาตรการของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งรัฐพัฒนานโยบายขึ้นโดยชุมชนไม่มีส่วนร่วม แม้ว่าจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชุมชนเหล่านี้ก็ตาม นโยบายเหล่านี้มักจะละเลยข้อกังวลและสถานการณ์เฉพาะของชุมชน รวมถึงกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”


🧑‍🌾 ในเดือนตุลาคม 2565 คณะรัฐมนตรีของไทยได้มีมติเห็นชอบให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ลงทุนในการปลูกป่าได้ ตามข้อเสนอของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ พวกเขายังได้เพิกถอนมติก่อนหน้านี้สองฉบับที่ผ่านในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2533 และเดือนกันยายน พ.ศ. 2535 ที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้บริษัทเอกชนรายใหญ่เข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้และมีส่วนร่วมในการปลูกป่า โครงการเหล่านี้ก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีเมื่อชุมชนไม่ได้เป็นศูนย์กลางของกระบวนการตัดสินใจ ดังนั้นจึงเป็นหนทางสำหรับบริษัทต่างๆ ที่จะฟอกเขียวในการปล่อยก๊าซคาร์บอน และหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อสังคมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


การดำเนินคดีระหว่างประเทศของเราต่อสหประชาชาติถึง #SaveSabWaiVillagers



📄การร้องเรียนทางกฎหมายระหว่างประเทศ: ในเดือนสิงหาคม 2565 มูลนิธิมานุษยะและชาวบ้านซับหวายที่ก่อตั้งเครือข่ายสายทองรักป่าได้ยื่นเรื่องร้องเรียนเพื่อดำเนินการเร่งด่วนไปยังผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติ 8 คน เพื่อใช้กดดันทางการไทยให้ยุติการบังคับขับไล่ชาวบ้านซับหวายควบคู่ไปกับ การละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆ


🇺🇳 การดำเนินการของสหประชาชาติ: เพื่อตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของเรา ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติได้ออกการสื่อสารอย่างเป็นทางการถึงรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2565 การสื่อสารของสหประชาชาติถึงรัฐบาลไทยถือเป็นการเปิดเรื่องราวบทใหม่ของชาวบ้านซับหวาย ซึ่งเตือนใจประเทศไทย ของพันธกรณีระหว่างประเทศในการปกป้องชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น แสดงความกังวลเกี่ยวกับการทำให้ชาวบ้านกลายเป็นอาชญากรอย่างไม่ยุติธรรมภายใต้การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ผิดพลาดของประเทศไทย และรับทราบถึงภัยคุกคามจากการถูกบังคับขับไล่! ตอนนี้รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบต่อสหประชาชาติสำหรับการกระทำนี้!




ความเงียบและเพิกเฉยของรัฐบาลไทยคือคำตอบที่ดังที่สุด

ทางการไทยยังไม่ได้ตอบกลับ เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วนับตั้งแต่มีการสื่อสารจากสหประชาชาติ สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าทางการไทยให้ความสำคัญกับกระบวนการด้านสิทธิมนุษยชนมากน้อยเพียงใด


#WeAreManushyan Equal Human Beings


✊การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของนิตยาและชาวบ้านซับหวายยังไม่จบ! มูลนิธิมานุษยะยืนหยัดเคียงข้างชาวบ้านซับหวาย และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติข้อกล่าวหาทั้งหมด! ประเทศไทยต้องยอมรับพวกเขาในฐานะผู้พิทักษ์ป่า และรับรองว่าสิทธิในที่ดินของพวกเขา!


❗️เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยหยุดใช้วิธีแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ผิดพลาด เช่น นโยบายการบุกรุกป่าไม้ที่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ให้ผู้บริสุทธิ์เป็นการอาชญากร แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การรับผิดชอบต่อนักลงทุน  ทุนนิยมที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแทน!


🌱ประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ยุติธรรม ครอบคลุม เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสตรีนิยม ซึ่งจะทำให้มั่นใจว่าเสียงของชุมชนจะได้รับการรับฟังและเป็นศูนย์กลางในขั้นตอนการวางแผนและการดำเนินการของมาตรการลดสภาพภูมิอากาศทั้งหมด!


🔗เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความพยายามของเราในการ #SaveSabWaiVillagers ได้ที่ https://www.manushyafoundation.org/campaign-savesabwaivillagers 



ในขณะที่คุณอยู่ที่นี่...


สามารถดูการทำงานของเราที่มีอิทธิพลต่อ #SaveSabWaiVillagers การสนับสนุนช่วยเหลือชาวบ้านออกจากคุก  จากการถูกบังคับขับไล่ และความยากจน เพื่อประณามการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ผิดพลาดของประเทศไทย:


 


อ้างอิง:

Comments


bottom of page